
ทำไม การวางแผนก่อนกู้ จึงสำคัญกว่าการกู้ให้ได้ ในฐานะที่ปรึกษาด้านสินเชื่อธุรกิจ ผมมักเห็นผู้ประกอบการหลายรายรีบหาสินเชื่อเพื่อธุรกิจทันทีที่เงินเริ่มตึงมือ แต่ละเลย การวางแผนกระแสเงินสด ซึ่งจริง ๆ แล้วเป็นจุดที่ผู้ให้กู้มองมากที่สุด เพราะเอกสารอาจบอกตัวเลข แต่ แผนการใช้เงิน ต่างหากที่บอกความสามารถในการบริหาร ปี พ.ศ. 2568 การแข่งขันขอสินเชื่อ SME สินเชื่อsmeเข้มข้นกว่าที่เคย เนื่องจากสถาบันการเงินใช้ข้อมูลกระแสเงินสดและวินัยการชำระหนี้จริง (Real Cash Flow Behavior) เป็นเกณฑ์หลักแทนการค้ำด้วยทรัพย์สิน หากคุณเตรียมแผนเงินสดและเอกสารครบ โอกาสขอสินเชื่อธุรกิจไม่ใช้หลักประกันก็สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด วิเคราะห์ปัญหาที่มักเกิดก่อนขอสินเชื่อ กู้ไม่ผ่านเพราะไม่วางแผน ผู้ประกอบการจำนวนมากถูกปฏิเสธสินเชื่อไม่ใช่เพราะธุรกิจไม่ดี แต่เพราะ เล่าเรื่องการเงินไม่เป็น หรือวางโครงสร้างวงเงินผิดประเภท ตัวอย่างเช่น ขอวงเงินก้อนใหญ่ทั้งที่ต้องการแค่หมุนเงินระยะสั้น ทำให้ DSR (Debt Service Ratio) สูงจนดูเหมือนไม่ไหว ใช้ วงเงิน OD เต็มทุกเดือน โดยไม่มีรอบคืน ทำให้ผู้ให้กู้มองว่าเสี่ยง ไม่แยกเงินหมุนเวียนกับเงินลงทุน จนกระแสเงินสดติดลบถาวร มีเอกสาร Statement ไม่สอดคล้องกับงบการเงินหรือยอดขายจริง 💡 มุมมองผู้เชี่ยวชาญ: ก่อนยื่นกู้ ควรทำ งบกระแสเงินสด 612 เดือน เพื่อเห็นช่วงเวลาที่เงินขาดมือและประเมินขนาดวงเงินที่พอดี ไม่เกินจำเป็น จะช่วยให้คำขอดูมีเหตุผลและน่าเชื่อถือ
วางกรอบคิดก่อนยื่นกู้ ใช้ตัวชี้วัดง่ายแต่ได้ผล ก่อนขอสินเชื่อเพื่อธุรกิจ คุณควรรู้จักตัวชี้วัดสำคัญ 3 ตัวที่ผู้ให้กู้ใช้ประเมิน ได้แก่ 1. DSCR (Debt Service Coverage Ratio) = เงินสดจากการดำเนินงาน ÷ ค่างวดหนี้ต่อเดือน ◦ ถ้ามากกว่า 1.21.3 แปลว่าธุรกิจมีเงินเหลือพอจ่ายหนี้และเผื่อเหตุไม่คาดคิด 2. DSR (Debt Service Ratio) = ค่างวดทั้งหมด ÷ รายได้เฉลี่ยต่อเดือน ◦ โดยทั่วไปควรอยู่ไม่เกิน 5060% เพื่อให้ผู้ให้กู้มั่นใจว่าคุณจ่ายไหวจริง 3. LTV (Loan to Value) = วงเงินกู้ ÷ มูลค่าหลักประกัน ◦ สำหรับสินเชื่อธุรกิจไม่ใช้หลักประกัน ค่านี้จะถูกแทนด้วย ศักยภาพทำรายได้ หรือเครดิตทางการเงิน 📌 ถ้อยคำง่าย ๆ: DSCR / DSR บอกว่าธุรกิจจ่ายไหวหรือไม่ LTV (หรือศักยภาพรายได้) บอกว่าผู้ให้กู้เสี่ยงมากน้อยแค่ไหน
วิเคราะห์กระแสเงินสดแบบง่าย หา ช่วงขาดมือ ให้เจอ ก่อนขอสินเชื่อ SME ควรทำตาราง เงินเข้าเงินออก รายเดือน (Cash-flow Forecast) อย่างน้อย 6 เดือนล่วงหน้า ระบุรอบเก็บเงิน: เช่น รับเงินลูกค้าทุก 45 หรือ 60 วัน ระบุค่าใช้จ่ายคงที่: ค่าแรง ค่าเช่า ค่าน้ำไฟ ระบุช่วงขาดมือ: เช่น เดือนมีนาคมเมษายนขาดเงินสด 200,000 บาท เมื่อเห็นภาพนี้ชัด คุณจะรู้ว่าควรขอสินเชื่อวงเงินเท่าไร และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ใดเพื่อปิดช่องว่างกระแสเงินสดได้ตรงจุด
ปรับโครงสร้างวงเงินให้ยืดหยุ่น ใช้เงินให้หมุน ไม่ให้ตึง ในปี 2568 หลายธนาคารเปิดทางให้ผู้ประกอบการ ออกแบบตารางผ่อน ตามฤดูกาลของธุรกิจ เช่น Grace Period (ระยะพักต้น): ใช้สำหรับโครงการลงทุนที่ยังไม่เริ่มสร้างรายได้ Step-up Payment: ช่วงแรกจ่ายเบา แล้วค่อยเพิ่มตามรายได้จริง Monitoring รายเดือน: ธนาคารบางแห่งให้ธุรกิจส่งรายงานกระแสเงินสด เพื่อปรับขนาดวงเงินหรือดอกเบี้ยให้เหมาะสม กลยุทธ์นี้ช่วยให้ธุรกิจ ไม่เกิดแรงกดบนกระแสเงินสด และรักษาคะแนนเครดิตดีต่อเนื่อง
เช็กลิสต์ก่อนยื่นขอสินเชื่อ SME 1. Statement ย้อนหลัง 612 เดือน ให้เห็นยอดเข้าออกสม่ำเสมอ 2. งบการเงินภาษียอดขายตรงกัน หากต่างกัน ควรแนบคำอธิบาย 3. แผนกระแสเงินสด 6 เดือนล่วงหน้า ระบุรายได้ ค่าใช้จ่าย และช่วงขาดมือ 4. สไลด์สรุป 1 หน้า ใส่เหตุผลการกู้ ประโยชน์ต่อธุรกิจ และเป้าหมายคืนเงิน ✅ ข้อแนะนำพิเศษ: ทำ Scenario Plan 3 แบบ (ยอดขายเท่าเดิม / เพิ่มขึ้น 20% / ลดลง 20%) แล้วประเมิน DSCR ทุกกรณี เพื่อแสดงให้ผู้ให้กู้เห็นว่าคุณเตรียมพร้อมแม้เจอสถานการณ์แย่สุด
สรุป การวางแผนที่ดีคือการสร้างเครดิตระยะยาว การขอ สินเชื่อเพื่อธุรกิจ ไม่ใช่แค่การยื่นเอกสารให้ผ่าน แต่คือการแสดงให้เห็นว่าคุณ เข้าใจเงินของตัวเอง ผู้ประกอบการที่มีแผนชัด กระแสเงินสดสมดุล และใช้สินเชื่อให้ตรงวัตถุประสงค์ มักได้รับวงเงินสูงขึ้นและเงื่อนไขดีกว่าธุรกิจที่ยื่นแบบเร่งรีบ ปี 2568 เป็นปีที่ผู้ให้กู้เน้นความโปร่งใส ความสม่ำเสมอ และการบริหารทุนอย่างมีระบบ หากคุณต้องการเริ่มต้นขอ สินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดเล็ก หรือมองหา สินเชื่อธุรกิจไม่ใช้หลักประกัน สามารถขอคำปรึกษาฟรีได้ที่ 🌐 www.easycashflows.com https://www.easycashflows.com/knowledge/sme-business-loans
เข้าชม : 10
|